วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไมชีวิตการบวชพระ ทำให้ชาวโลก พบความสุข และความสบาย



"การที่เรามาบวชมาเป็นพระ ไม่ใช่สบาย ถ้าเราสบายไปทำอย่างอื่นดีกว่า 
แต่การมาบวชเป็นพระ ครั้งนี้ เราควรที่จะทำประโยชน์ให้กับพระศาสนา 
คือให้พระศาสนาได้พึ่งเรา
คือการที่เรากำลังจะเอาความสว่าง ของธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ไปถึงคนที่เขากำลังลำบาก อยู่ในห้วงของความทุกข์ เหมือนกับที่เราเคยผ่านมา 

เราจึงต้องขยันมุ่งมั่นในการฝึกตัว เราจึงต้องขยันในการทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไป เป็นเป้าหมายที่ว่า ทำไมวัดพระธรรมกายถึงต้องทำแบบนี้"


เรื่องเล่าเข้าใจธรรม

ตอน ทำไมท่านถึงบวชที่วัดพระธรรมกาย เพราะติดสบายรึเปล่า?
ตอนที่ 3




ที่มาของภาพ : บล็อกภาพดีๆ072,

https://photoofdays.blogspot.com/2018/03/blog-post_14.html

จากที่ได้ฟังพระอาจารย์เล่ามา ก็พอจะสรุปได้ว่า ท่านมาบวชเพื่อตัวเองในแง่ของการปฏิบัติธรรม เพื่อให้บรรลุมรรคผล นิพพาน 2 คือการทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับญาติโยม ที่ได้มาถวายภัตตาหาร บำรุงวัด ทั้งพระภิกษุสามเณรในวัด หลวงพี่คิดว่าการที่มาอยู่ตรงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สุขสบาย แต่จะดูยุ่งยากกับการที่ต้องรับมือกับญาติโยมมากมาย
 อย่างที่หลวงพี่พูดให้ฟัง ก็คือ คำว่าสบาย ต้องให้คำจำกัดความ คนที่อยู่ข้างนอกก็จะมองความสบายเป็นอีกแบบหนึ่ง พระก็มองความสบายเป็นอีกแบบหนึ่ง
       ยกตัวอย่างเช่น คนข้างนอกมองความสบายว่าคือการได้พักงาน ได้ท่องเที่ยวอะไรต่าง ๆ แต่ความสบายของพระ คือความสบายทางใจเสียมากกว่า คือได้ปลอดจากความกังวล ได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากความวุ่นวาย และเนื่องจากพวกเรามาทำหน้าที่ตรงนี้ เราทำได้ประโยชน์ของตัวเองด้วย ได้ประโยชน์ของคนอื่น มันก็เป็นความสบายใจแบบหนึ่ง ก็คือเราเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นเขาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง มันเป็นหน้าที่ของพระอยู่แล้ว เพราะจะช่วยให้คนมีความรู้ในธรรมะ รู้ว่าชีวิตของตัวเองควรจะดำเนินต่อไปอย่างไร


ที่มาของภาพ : บล็อกหลวงพ่อสอนอะไรตอนที่84,

http://anacaricamuni.blogspot.com/2016/11/blog-post_29.html

ซึ่งความจริงตรงนี้หลวงพี่ อยากเล่าให้ฟังว่า แรกๆก็ขัดแย้ง หมายความว่า เรามาเราก็อยากหวังประโยชน์ตัวเอง คนอื่นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ฉันอยากจะเอาตัวเองให้รอด ตรงนั้นก่อน ก็ไปถึงจุดที่มันจะต้องเริ่มช่วยกันในการทำงาน ทำหน้าที่ตรงนี้ ก็ยังมีความกังวลใจ ลังเลใจ ว่ามันจะใช่หรือไม่ พอดีมีโอกาสกราบหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส ท่านก็ให้ข้อคิดที่ดีมาก ท่านบอกเป็นคำถามที่คนที่มาสร้างวัดตอนแรกๆ ก็ถามกัน เพราะว่าความจริงวัดนี้จากตั้งต้นคือคิดอยากจะนั่งสมาธิกันอย่างเดียว
        แต่ว่า วิสัยทัศน์ของหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านมองไกลไปกว่า นั้น คือท่านมองว่า ถ้าเรามาบวชแล้ว เราควรที่จะทำประโยชน์ให้กับพระศาสนา คือให้พระศาสนาได้พึ่งเรา ไม่ใช่เราเอาแต่พึ่งพระศาสนา คือเอาความสะดวกสบาย มานั่งโยมถวายอาหาร อย่างเดียวไม่ใช่ ท่านมองไปไกล แล้วก็มองว่าท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง ทีนี้พอเรามาเป็นลูกศิษย์ท่าน ก็แน่นอนครูบาอาจารย์ท่านมุ่งมาดปรารถนาอย่างไร เราก็อยากทำให้สิ่งนั้นเกิดมา ก็เป็นความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์อีกทางหนึ่ง

ที่มาของภาพ : บล็อกภาพดีๆ072,

https://photoofdays.blogspot.com/2017/11/11-2560-7-8-300-7-8-6-7-3.html

  หลวงพ่อท่านรองเจ้าอาวาสท่านเคยเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ในตอนนั้นก็มองอย่างนี้เหมือนกันว่า เราอยากนั่ง ก็ไปคุยกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านก็บอกกับหลวงพ่อรองเจ้าอาวาสคือหลวงพ่อทัตตชีโวว่า หลวงพ่อลองคิดอย่างนี้สิ
         สมมติว่า มันมีน้ำท่วม ท่วมทั้งโลก แล้วก็มีคนคนหนึ่งเขาพายเรือ พายมาเรื่อย ๆ คนไหนลอยคออยู่ เห็นปุ๊บก็เข้าไปรับ และดึงขึ้นมาบนเรือ ดึงขึ้นมาทีละคน สองคน และพายต่อไป คนที่ขึ้นมาบนเรือครั้งแรกๆ เมื่อขึ้นมาแล้ว หายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก็ช่วยกันพายต่อไป
ท่านบอกว่าคนที่อยู่บนเรือคนแรก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกที่ลอยคออยู่ในน้ำ ก็เป็นชาวโลกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยไปทีละคนสองคน และคนเหล่านั้นก็ช่วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการที่จะเผยแผ่พระศาสนาต่อไป ก็คือไปช่วยคนอื่น และเรือลำนั้น พายมา 2500 กว่าปีแล้ว และมาเจอเราลอยคออยู่ในทะเล แล้วดึงเราขึ้นไป ท่านถามหลวงพ่อทัตตชีโวว่า เมื่อเขาดึงเราขึ้นมาบนเรือแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะบอกไหมว่า คุณหยุดพายเรือเถอะ อย่าพายต่อไปเลย ฉันเหนื่อยเอาแค่นี้ก็พอ

ที่มาของภาพ : บล็อกภาพดีๆ072,

https://photoofdays.blogspot.com/2018/03/blog-post_14.html

ฟังแค่นี้ก็เข้าใจแล้วว่า จริง ๆ กว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ เขารักษาพระพุทธศาสนามา เอาชีวิตเข้าแลกกันมา พอมาถึงยุคเรา เราจะให้มันตกต่ำลงไป มันใช่เรื่องหรือเปล่า หลวงพ่อท่านมองอย่างนี้ ท่านก็เลยมีความคิดว่า จะให้พระพุทธศาสนาตกต่ำในยุคที่พวกเรามาบวชนี้ไม่ควร
คือหมายความว่า ในยุคที่พวกเรายังมีเรี่ยวมีแรง มีกำลัง เรามีความสามารถ เรามีสติปัญญา เราจึงใช้ทุกอย่างที่เรามี เพื่อทำให้เรือลำนี้ มันยังจะสามารถไปรับคนอื่นที่ยังลอยคออยู่ เหมือนกับที่เราเคยลอยมา
สิ่งเหล่านี้มันเลยกลายเป็นความรู้สึกใหม่ ที่ชุดหลวงพี่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อทัตตชีโว ที่หลวงพ่อธัมมชโยท่านเคยเล่าให้ฟัง มันเลยกลายเป็นว่า “โอเคครับหลวงพ่อ ผมเข้าใจแล้วครับว่า เราต้องทำอะไร ซึ่งประโยคที่ท่านบอกตรงนั้น มันกลายมาเป็นแรงบันดาลใจว่า การที่เรามาบวชมาเป็นพระ ไม่ใช่สบาย ถ้าเราสบายไปทำอย่างอื่นดีกว่า
แต่การมาบวชเป็นพระ ครั้งนี้ คือการที่เรากำลังจะเอาความสว่าง ของธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ไปถึงคนที่เขากำลังลำบาก อยู่ในห้วงของความทุกข์ เหมือนกับที่เราเคยผ่านมา เราจึงต้องขยันมุ่งมั่นในการฝึกตัว เราจึงต้องขยันในการทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไป เป็นเป้าหมายที่ว่า ทำไมวัดพระธรรมกายถึงต้องทำแบบนี้ คนอื่นจะได้เข้าใจหลวงพี่ ไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร มันเป็นสิ่งที่เข้าใจลำบาก แต่กว่าเราจะมาเข้าใจแบบนี้ได้ ก็ใช้เวลานาน

ที่มาของภาพ : บล็อกภาพดีๆ072,

https://photoofdays.blogspot.com/2018/03/lotus-land.html

สิ่งที่พระอาจารย์ได้เล่ามานี้ อาจจะเป็นเพียงประสบการณ์ของพระรูปหนึ่งซึ่งท่านได้บอกกล่าวแต่ต้นว่า เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของตัวท่านเอง แต่ก็ได้ให้มุมมองที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้และไม่เคยได้สัมผัสกับพระวัดพระธรรมกายมาก่อน และหลายคนที่อาจจะยังรู้สึกว่า การเป็นพระเป็นเรื่องของการหาที่พักพิงเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย คนที่คิดเช่นนั้น ควรได้ลองมาพิสูจน์ ด้วยการนำตนเองลองมาบวชเป็นพระภิกษุ
ส่วนพระอาจารย์จุมพลก็ได้แสดงจุดยืนและบอกเป้าหมายของการมาบวชที่ชัดเจนแล้ว คือ หนึ่ง ยังประโยชน์ตนโดยการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรมกาย และ สอง ยังประโยชน์ท่าน โดย การได้ให้ธรรมะตอบแทนญาติโยมสาธุชนผู้สนับสนุนปัจจัย 4 เพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตพระภิกษุ ไปพร้อมกัน
หากพระภิกษุมีจุดมุ่งหมายจะส่งต่อประทีปแสงสว่าง คือ พระธรรม ที่ได้รับจากพระบรมศาสดา ขยายไปสู่ใจผู้คน และสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป เชื่อมั่นว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงคงอยู่ เพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่โลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น