วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

การบวชพระ อย่างไร ญาติโยมจึงจะได้บุญ

"ถ้าคุณเป็นพระที่ฝึกตัวก็สามารถที่ไปถึงฝั่งได้ คือไปบรรลุมรรคผลนิพพาน กับอีกส่วนหนึ่ง อย่าลืมคนที่สนับสนุน คือคนที่ใส่บาตรให้คุณ คนที่ถวายปัจจัย 4 ให้คุณ เขาก็รอคุณเป็นเนื้อนาบุญ รอฟังว่าคุณมาใช้ชื่อในความเป็นพระ แล้วคุณได้อะไรมาบ้าง ความดีงามเหล่านี้ มันทำไงถึงจะเกิดขึ้น เขาก็อยากจะฟัง พูดง่ายๆว่าเราก็มีหน้าที่สอนคนไปด้วย ด้วยหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้ มันจึงกลายเป็นภาระของพระทุกรูป ไม่ใช่เฉพาะรูปใดรูปหนึ่ง แต่พระทุกรูปต้องรู้จักหน้าที่ว่า เรามีหน้าที่ในการฝึกตัว และก็มีหน้าที่ในการสอนคนอื่น แนะนำคนอื่นไปด้วยในเวลาเดียวกัน"


เรื่องเล่าเข้าใจธรรม 

ตอน ทำไมท่านถึงบวชที่วัดพระธรรมกาย เพราะติดสบายรึเปล่า?

ตอนที่ 2


 ภาพพระเดินธรรมยาตรา ที่มาของภาพจากบล็อกภาพดีๆ072


...มีผู้สงสัยว่า พระที่มาบวชที่วัดพระธรรมกายเพราะติดสบายหรือเปล่า ?

           หลวงพี่เคยถามตัวเองในตอนที่มาบวชช่วงพรรษาแรกๆถึงสาเหตุของการมาบวช เนื่องจากว่าการมาบวชช่วงแรกเราไม่ได้เห็นความวุ่นวายอะไรต่าง ๆ ในลักษณะอย่างที่คนข้างนอกเขาเห็น การเติบโตของพระจะค่อยๆ มาเป็นลำดับ เหมือนกับเราเป็นเด็กที่ค่อยๆ เติบโต มีพ่อแม่คอยฟูมฟัก ตอนมาวัดแรกๆ เราก็ถูกฟูมฟักมาให้คุ้นเคยกับความเป็นพระ หลวงพี่ยอมรับนะว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าวัดมีงานอะไรเยอะแยะขนาดนี้




                 เราเคยมาในฐานะที่เป็นสาธุชน เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เห็นเลยว่า กว่าจะมาเป็นแบบที่ญาติโยมได้นั่งกันสบาย มีอะไรอยู่เบื้องหลัง เราไม่รู้ว่าคนที่ทำงานพวกนี้คือคนที่อยู่ในวัด เพราะฉะนั้นก่อนที่มาบวชไม่ได้ไปรู้ถึงตรงนั้น ก็ถูกฟูมฟักมาเรื่อย ๆ ค่อยพัฒนาจนเริ่มเข้าใจ มีงานอะไรเข้ามาให้เราทำ แต่ก็เกิดคำถามว่า ตกลงเราต้องการอะไร เราจะได้นั่งสมาธิอย่างที่เราหวังไหม ซึ่งหลวงพี่นั่งนึกเล่นๆว่า ถ้าย้อนกลับไปในวันแรกที่เราบวช แล้วถ้าเรารู้ว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าเราจะต้องมาทำแบบนี้ เราจะอยู่ไหม หลวงพี่ก็คิดว่า เราอาจจะไม่อยู่ก็ได้นะ แต่บังเอิญว่าการอยู่มา 3-4 ปี กว่าจะมารู้ถึงตรงนี้ เรารู้พื้นฐานมาระดับหนึ่งแล้ว เราเกิดความเข้าใจมาระดับหนึ่งแล้วว่า ทำไมวัดต้องมีอะไรตรงนี้ ทำไมวัดต้องทำอะไรแบบนี้ ก็เลยทำให้ เคยถามหลวงพ่อหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส ว่า เราเอง เราก็ไม่ได้เก่งอะไร ตัวเรายังเอาไม่รอดเลย ยังไม่ได้หมดกิเลสเลย แล้วถ้าต้องมาทำงานอย่างนี้อยู่อีก แล้วเราจะได้นั่งสมาธิจนบรรลุธรรมตามที่ตั้งใจไหม ท่านก็ตอบมา ว่าการเป็นพระ มีหน้าที่อยู่ 2 อย่างนะ


ภาพสาธุชนตักบาตรสามเณร ที่มาของภาพจากบล็อกภาพดีๆ 072

       
       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า หนึ่งคือ ถ้าคุณเป็นพระที่ฝึกตัวก็สามารถที่ไปถึงฝั่งได้ คือไปบรรลุมรรคผลนิพพาน กับอีกส่วนหนึ่ง อย่าลืมคนที่สนับสนุน คือคนที่ใส่บาตรให้คุณ คนที่ถวายปัจจัย 4 ให้คุณ เขาก็รอคุณเป็นเนื้อนาบุญ รอฟังว่าคุณมาใช้ชื่อในความเป็นพระ แล้วคุณได้อะไรมาบ้าง ความดีงามเหล่านี้ มันทำไงถึงจะเกิดขึ้น เขาก็อยากจะฟัง พูดง่ายๆว่าเราก็มีหน้าที่สอนคนไปด้วย ด้วยหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้ มันจึงกลายเป็นภาระของพระทุกรูป ไม่ใช่เฉพาะรูปใดรูปหนึ่ง แต่พระทุกรูปต้องรู้จักหน้าที่ว่า เรามีหน้าที่ในการฝึกตัว และก็มีหน้าที่ในการสอนคนอื่น แนะนำคนอื่นไปด้วยในเวลาเดียวกัน
        ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามาอยู่ที่วัดแล้วก็จะเอาแต่ประโยชน์ตัว ก็คงจะไม่ได้ ก็จะต้องมีประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ญาติโยมด้วย ซึ่งอันนี้มันก็อยู่ที่ว่าเรามีปัญญาทำแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา หมู่คณะ องค์กรหรือการสนับสนุนว่าเราจะผลักดันเรื่องตรงนี้ไปได้มากแค่ไหน


ภาพอาคารร้อยปีคุณยาย ที่มาของภาพจากบล็อกภาพดีๆ 072

คำถาม แต่หลายคนไม่ได้มองแบบ นั้น เขามองว่า การอยู่วัดพระธรรมกาย สบาย หรูหรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม พระเลยไม่อยากไปที่อื่น อยากอยู่วัดนี้ค่ะ

           หลวงพี่ลองเทียบกับชีวิตตัวเอง สมัยหลวงพี่ทำงานอยู่ข้างนอกหลวงพี่ก็ทุ่มเท ทำงานหนัก เพราะเราอยู่ในวัยที่มีความสุขกับการที่เราได้ใช้ความรู้ความสามารถของเรา แต่พอมาอยู่ที่วัด หลวงพี่มีความรู้สึกว่า ในวัดมันหนักกว่าข้างนอก เหมือนมีสโลแกนอยู่อย่างหนึ่งจากหลวงพ่อ "ท่านบอกว่าการทำงานคือการพักผ่อน เรามีหน้าที่ทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน แล้วไม่มีวันหยุด เพราะทุกวันคือการทำงาน การทำงานสำหรับข้างนอกอาจจะเรียกว่าการทำงาน แต่ข้างในวัดเราไม่เรียกว่ามันเป็นการทำงาน เราเรียกว่ามันเป็นการรับบุญ เพราะว่าเราทำเป็นงานของพระศาสนา เป็นทางมาแห่งบุญของตัวเรา" เป็นทางในบุญของคนอื่น เพราะฉะนั้นมาอยู่วัดนี้ถามว่าสบายไหม ง่ายมากเข้ามาบวชดู ลองอยู่ด้วยกันแล้วก็จะรู้ว่าเป็นพระนี่ก็สนุกเหมือนกันนะ ส่วนสบายหรือเปล่าหลวงพี่ไม่รู้ แต่กับตัวเองหลวงพี่มีความสบายในระดับที่เราพึงพอใจ คือหมายถึงว่า เราอยากได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เราก็ได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย







         เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบพระ เราก็ได้แบบนั้น เพราะฉะนั้นความสบายในมุมของคนข้างนอก กับความสบายของความเป็นพระ มันอาจจะไม่เหมือนกัน คำจำกัดความอาจจะไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น คนข้างนอก อาจจะมองว่าความสบายคือ ความฟุ่มเฟือย หรูหรา มีเฟอร์นิเจอร์มากมายในลักษณะแบบนั้น

ถาม: แล้วเช่นการที่พระมีไอแพดใช้ หรือพระที่นี่มีของใช้ดีๆ ล่ะคะ

          ไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดอะไร กับเรื่องเทคโนโลยี วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พระหรือเราไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ก็ยังต้องพึ่งพา แต่ว่ามันไม่ใช่หัวใจใหญ่ที่จะบอกว่า สิ่งนั้นคือความสบาย เพราะความสบายของพระ โดยเฉพาะอย่างตัวหลวงพี่เอง มันคืออะไรที่เป็นความคาดหวังว่าจะได้อะไรจากความเป็นพระ ถ้าเราได้สิ่งนั้นมา นั่นคือสิ่งที่เราสบาย




ถาม แล้วถ้าเทียบกับการที่หลวงพี่ไปปลีกวิเวกอยู่วัดต่างจังหวัดให้สงบ ไม่ต้องมาทำภารกิจเรื่องญาติโยมเยอะแบบนี้

         มีคำอยู่คำหนึ่ง "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกเลยว่า กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์" คือ คำว่าพรหมจรรย์ก็หมายเอาหลายอย่างทั้งความดีงาม ทั้งมรรคผลนิพพาน ทุกอย่างต้องอาศัยกัลยาณมิตรคืออาศัยมิตรที่ดี คำว่ามิตรที่ดีในที่นี้ถ้าเอาแบบสุดๆเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านเป็นยอดของกัลยาณมิตร คือหมายความว่าท่านเป็นบุคคลที่สามารถที่จะแนะนำชักชวนได้ ช่วยทำให้เราไปถึงจุดฝั่งที่เราต้องการได้ พูดง่ายๆว่าท่านสามารถทำหน้าที่เป็นครูให้เราได้ ดังนั้น เราก็ต้องมานั่งถามตัวเองว่า เราจะไปถึงตรงนั้นได้เราต้องการกัลยาณมิตรหรือเปล่า หลวงพี่ว่า ต้องการอยู่น่ะ คือไม่ใช่เป็นคนที่มีแรงบันดาลใจอะไรอยู่ตลอดเวลาที่จะสามารถทำอะไรอยู่ได้คนเดียว มันมีช่วงขึ้นช่วงลง คือบางช่วงที่เรารู้สึกมีความสุข บางช่วงเราอาจรู้สึกเฉยๆ บางช่วงอาจจะขี้เกียจ พระไม่ใช่ว่า มาถึงปุ๊บแล้วจะเปลี่ยนอะไรทันทีทันใด ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ดังนั้นเรายังต้องการครูบาอาจารย์ที่จะสอน ที่จะแนะนำ การอยู่ ณ ที่ตรงนี้มันจึงเป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง ที่เรารู้ว่ามีคนที่จะแนะนำ บอก และกระตุ้นเรา หลวงพี่กลับคิดเลยว่า ถ้าสมมติเราจะไปนั่งอย่างเดียวเลย เราก็ถามตัวเราเองว่า เรามีความสุขตรงนั้นไหม? มันอาจจะมีความสบายใจ มันไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เรานั่งของเราเต็มที่





     แต่ความรู้สึกลึกๆของเรา ก็อยากจะตอบแทนเหมือนกัน เราก็คิดว่า ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราไปนั่ง แล้วเราจะบรรลุ แล้วเราจะมาตอบแทนคนอื่นเขา อาจจะใช้เวลาชั่วชีวิต หรือเผลอๆ ชาตินี้อาจจะไม่ได้เลย ดังนั้นก็ขอทำทั้งสองอย่างไปด้วยกัน เพื่อให้ตัวเอง รู้สึกสบายใจด้วยอย่างหนึ่ง และเราสบายใจ ที่เราได้มีครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร คอยช่วยเหลือ แนะนำ ทำให้ตัวเราก็การพัฒนา จึงไม่ได้รู้สึกว่าเราจะต้องไปอยู่ที่อื่น เพื่อที่จะนั่งอย่างเดียว เพราะว่า อยู่ที่ความสามารถในการจัดการ มองลึกไปกว่านั้น หลวงพี่ว่า เป็นความสำนึกนะ ว่าเราจะต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้คนอื่นด้วย สอนคนอื่น แนะนำคนอื่น สิ่งเหล่านี้กลับเป็นตัวกระตุ้นเราด้วยซ้ำไป คือกระตุ้นให้เรารู้สึกตัวเสมอว่า เราจะต้องไปทำหน้าที่เป็นครูให้คนอื่นเขา เรามีความเป็นครูมากน้อยแค่ไหน เราฝึกฝนตัวเองมากน้อยแค่ไหน เราจะขจัดขัดเกลาความไม่ดีในตัวเรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งมันกลายเป็นว่า ญาติโยมสาธุชน กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เราอีกทางหนึ่ง ในการที่จะทำให้เราผลักดันตัวของเราเองให้ก้าวไปสู่บุคคลที่จะเป็นเนื้อนาบุญของเขาได้


โปรดติดตาม บทความสัมภาษณ์ เรื่องเล่าเข้าใจธรรม ตอนที่ 3 ------->

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2565 เวลา 08:25

    The best coin casino - Casino Whizz
    “Casino” 인카지노 is the simplest and most 바카라 사이트 trustworthy casino game. 카지노사이트 · Casino Games – Play them with the highest quality and the highest quality. · Players –

    ตอบลบ